Saturday, September 25, 2010

อยู่เพื่อตนเอง อยู่แค่สิ้นใจ อยู่เพื่อคนทั่วไป อยู่ชั่วฟ้าดิน โดย ท่าน ว.วชิรเมธี

คำของท่าน ว. ฟังแล้วเหมือนจะพูดถึงสังคมแบบมหภาค แต่ส่วนตัวแล้วชีวิตเราคงไม่ได้ยิ่งใหญ่เพื่อคนทั่วไปมากขนาดนั้น

ก็เลยคิดไปว่า .. ชีวิตมันต้องสมดุล ต้องอยู่เพื่อตัวเอง และอยู่เพื่อคนอื่น

อยู่เพื่อคนอื่น เพราะเราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เราต้องอยู่ร่วมกัน พึ่งพาอาศัยกัน รักกัน ช่วยเหลือกัน

อยู่เพื่อตัวเอง เพราะเกิดมาทั้งทีต้องทำชีวิตให้คุ้มค่า วันนี้ พรุ่งนี้ทำให้ดีที่สุด

แต่ทั้งหมดทั้งมวล .. อย่าลืมรักตัวเอง .. เพราะไม่ว่าจะอยู่เพื่อตัวเองหรือเพื่อใคร ถ้าเราไม่รักตัวเอง ชีวิตก็ไร้ค่าเหมือนกัน

เนอะ ... หรือเปล่านะ

Sunday, September 19, 2010

today's great moment

my favorite shots, taken from bee bug's album and mine







place :  วัดเล่งเน่ยยี่ 2, VIE Hotel

Wednesday, August 25, 2010

ขีดจางจาง เส้นบางบาง ของอารมณ์


ขีดจางจาง เส้นบางบาง ของอารมณ์

อาจขมขม อาจหดหู่ หรือสดใส

อยู่ทีเรา อยู่ที่เลือก ความเป็นไป

อยู่ที่ใจ อยู่ที่คิด ลิขิตมัน


Saturday, August 21, 2010

มิตรภาพคนกับสัตว์ขั้วโลก เรื่องนิ่งๆ เดี๋ยวๆ ก็ยิงกันตาย

พลันที่นักเขียนไส้แห้งคนนึง ได้รับเลี้ยงดูเพนกวินตกกระป๋องที่สวนสัตว์นำมาเร่หาผู้รับอุปการะ พลันนั้นก็เกิดอาการอยากอ่าน “มาเฟียกับเพนกวิน” เริ่มเรื่องแบบนี้ จะดำเนินเรื่อง และจะพาเราไปจุดจบแบบไหน


“มาเฟียกับนกเพนกวิน” งานเขียนของ อังเดรย์ เคอร์คอฟ เป็นนวนิยายเสียดสี ตลกผสมโศกนาฏกรรม สะท้อนสังคมการเมืองยูเครน ดินแดนที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐรัฐเซียในปัจจุบัน … สนมั้ย ไม่หรอก ไม่ได้จะอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ ฉากหลังของอดีตก็เป็นแค่ background ของเรื่องราวที่ดำเนินไป ให้ภาพกว้างๆ ของสังคมที่ตัวเอกของเราอาศัยอยู่ ความน่าสนใจมันอยู่ที่ว่า เราไม่ค่อยได้อ่านวรรณกรรมรัสเซียหรือยูเครน ลองดูซักตั้งจะเป็นไร

“วิกเตอร์พยายามเขียนเรื่องสั้นส่งนิตยสารต่างๆ เพื่อหาเงินเลี้ยงชีพและเจ้าเพนกวิน แต่เรื่องสั้นของเขาไม่เคยได้รับการตีพิมพ์เลย สุดท้ายเพื่อปากท้องตัวเองและเพนกวิน วิกเตอร์จำต้องเป็นนักเขียนประจำให้หนังสือพิมพ์ใหญ่เปิดใหม่ฉบับหนึ่งของยูเครน วิกเตอร์ได้รับมอบหมายในหน้าที่ผู้เขียนข่าวมรณกรรม! แม้จะพะอืดพะอม แต่วิกเตอร์ก็ตั้งใจทำหน้าที่สุดความสามารถ นอกจากเขียนข่าว วิกเตอร์และเจ้าเพนกวินเพื่อนยากยังต้องไปร่วมงานศพคนตายที่เป็นข่าวด้วยทุกครั้ง กระทั่งโคจรไปเจอมาเฟีย “ขาใหญ่” ผู้ครองเมืองยูเครนในช่วงเวลานั้น” (ยกมาจากแนะนำหนังสือในข่าวสด)

พล็อตสั้นๆ แต่ไม่ง่าย แต่เคอร์คอฟกลับเล่าเรื่องแบบเรียบๆ เรื่อยๆ ง่ายๆ แม้ระหว่างอ่านจะแอบหลับไปหลับมาอยู่หลายตลบ แต่ชีวิตของตัวเอกในเครื่องไม่ได้น่าเบื่อ ยิ่งอ่านยิ่งสนใจว่าอะไร ทำไม อย่างไร การพูดถึงการฆ่ากันในยุคหลังสงครามยูเครน อ่านไปอ่านมามันช่างดูปกติยิ่งนัก (หรือเราเองก็อยู่ในสังคมที่คล้ายกัน)

วิคเตอร์และเพนกวินไม่ได้ลำบากในการใช้ชีวิตให้รอด แต่ลำบากในการบาลานซ์ชีวิต ท้ายที่สุด การอยู่ต่อไปก็เป็นคำตอบของการใช้ชีวิตด้วยตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่ว่าจะอยู่ต่อแบบมีชีวิต หรือใกล้จะจบชีวิตก็ตาม

Sunday, August 1, 2010

Summer Wars รวมกันเป็นหนึ่ง

ปลายปีที่แล้วมีโอกาสได้ดูอนิเมชั่นปี 2006 เรื่อง "The Girl Who Leapt Through Time" อนิเมชั่นไซไฟน่ารักๆ ที่นางเอกค้นพบพลังพิเศษทำให้สามารถเดินทางข้ามเวลาไปมา พล็อตเรื่องไม่ใหม่ แต่การดำเนินเรื่องสนุกสนานน่าติดตาม ก็เลยทำให้ชอบผู้กำกับ Mamoru  Hosoda เพิ่มขึ้นมาอีกคน ปีนี้พอได้รู้ว่า Hosoda มีอนิเมชั่นเรื่องใหม่ และยังควง Satoko Okudera นักเขียนบทคนเดิมมาเขียนให้ ความอยากดูก็พลั่งพลูอย่างไม่มีเหตุผล

The Girl Who Leapt Through Time

สงครามซัมเมอร์ (Summer Wars) อนิเมชั่นไซไฟที่พูดถึงการใช้ชีวิตของเราในโลกเสมือนจริง (Virtual World) โลกในคอมพิวเตอร์ที่เราสามารถควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างได้เพียงแค่ Connect ผ่านมือถือ หรือคอมพิวเตอร์ ปัญหาคือเมื่อโลกเสมือนจริงแห่งนี้ถูก Hack โดย AI ที่แข็งแกร่งและฉลาดล้ำ คนอย่างเราๆ จะต่อสู้กันอย่างไรเพื่อแย่งชิงมันคืนมา


แม้จะเป็นไซไฟที่จินตนาการถึงเรื่องราวของโลกดิจิตอลอย่างสุดขั้ว แต่หนังเรื่องนี้ไม่ได้ละทิ้งภาพสังคมครอบครัวของญี่ปุ่นออกไป ซ้ำยังตอกย้ำให้เห็นภาพของความสัมพันธ์ในครอบครัวของนางเอก ซึ่งมีคุณยายเป็นศูนย์รวมจิตใจ สิ่งนี้น่าจะเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงความเข้าใจระหว่างบ้านเขากับบ้านเรา เพราะทุกครั้งเมื่อมีวันหยุดหรือวันสำคัญ สมาชิกในครอบครัวไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็จะกลับมาพบปะสังสรรค์  เป็นสัมพันธภาพที่ลึกซึ้งและเชื่อมโยง อาจจะดูสับสนวุ่นวายต่างจากครอบครัวเดี่ยวในเมืองใหญ่ แต่ปฎิเสธไม่ได้ว่าความรักความเข้าใจของคนในครอบครัวนี่แหล่ะที่เป็นกุญแจสำคัญในการฟันฝ่าทุกปัญหาที่เกิดขึ้น .. รวมถึงเรื่องวุ่นๆ ในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย


ก่อนหน้านี้คอหนังอนิเมะน่าจะคุ้นเคยกับ Studio Ghibli ค่อนข้างมาก แต่อยากให้ลองดูผลงานของค่ายอื่นๆ กันบ้าง งานดีและมีแง่คิด ไม่ทำให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์แน่นอน

Saturday, July 31, 2010

Departures ความสุขนั้น...นิรันดร

Departures หรือ "ความสุขนั้น...นิรันดร" เป็นหนังที่เกี่ยวกับการแต่งตัวศพ การแต่งหน้าศพของญี่ปุ่น .. เปิดหูเปิดตาให้รู้จักวัฒนธรรมที่แตกต่างอีกรูปแบบ คล้ายเป็นพิธีกรรมที่ต้องรักษาเอาไว้อย่างเคร่งเครียด .. แรกๆ ดูแล้วไม่เข้าใจว่าจะต้องทำอะไรกับศพคนตายกันขนาดนั้น ในหัวเต็มไปด้วยคำถาม อะไร? ทำไม? ยังไง?


แต่ทุกคำถามจบไป เมื่อพิธีกรรมนี้กระทำอย่างเสร็จสมบูรณ์ .. ทุกอย่างที่ทำคือการให้เกียรติผู้ตายครั้งสุดท้าย และเป็นการบรรเทาจิตใจของเหล่าคนเป็นที่เศร้าหมอง .. อาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่มันสำคัญมากที่เราจะได้จดจำผู้อันเป็นที่รักครั้งสุดท้ายด้วยภาพที่สวยงาม ไม่ว่าการลาจากจะเนื่องเพราะความตายหรือสาเหตุอื่นใดก็ตาม

ซีนนึงในหนังเรื่องนี้ที่รู้สึกอิจฉา คือการที่เด็กเล็กได้รับอนุญาติให้ดูศพผู้ตายเป็นครั้งสุดท้ายก่อนการปิดโลงเพื่อเผาส่งวิญญาณ .. หากเปรียบเทียบกับบ้านเรา อารมณ์การดูหน้าศพครั้งสุดท้ายเป็นอารมณ์ที่มีแต่ความอยากรู้ ความกลัว และความท้าทาย .. อยากเห็นมั้ย? กล้าเปล่า? กลัวมั้ย? .. ไหนคืออารมณ์อาลัยแห่งการจากลา

ประเด็นที่อยากพูดถึงสุดท้ายคือเรื่องความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว เพราะไม่ว่าใครก็ย่อมมีบ่วงผูกมัดกับครอบครัวไม่มากก็น้อย การที่พระเอกไม่เข้าใจพ่อบังเกิดเกล้าไม่ใช่เรื่องแปลก แต่แปลกดี ที่เรามักหาเหตุผลให้ตัวเองเสมอๆ ในการกล่าวโทษคนอื่น ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แต่มันเศร้านะ เมื่อท้ายที่สุดแล้วความไม่เข้าใจกลายเป็นกำแพงสูงที่ขวางกั้นทุกอย่าง กว่าจะรู้ตัวว่าผิดไปก็เมื่ออะไรๆ มันเลยจุดที่จะแก้ไขได้ไปแล้ว 

ทุกครั้งที่ดูหนังญี่ปุ่น มักมีอะไรให้ได้คิดต่อเสมอๆ เรื่องนี้ก็เหมือนกัน ... Departures ไม่ใช่หนังติสต์แตก ไม่ใช่หนังที่ดู "ไม่รู้เรื่อง"  ส่วนตัวแล้วมันคือหนังที่ดูแล้ว "เป็นเรื่อง" ... ไม่ใช่เรื่อง "ความตาย" ที่เราควรกังวล แต่มันคือ "ความเป็น" ที่ควรให้ความสำคัญมากขึ้น ทั้งกับตัวเอง คนใกล้ชิด และสังคมเล็กๆ รอบตัวที่เราเป็นส่วนหนึ่ง .. จะได้ไม่ต้องมาเสียใจกันภายหลัง

Wednesday, July 14, 2010

อย่า

ยึดติดอีกแล้ว
อย่ายึดติด